วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


TIME
โดยทั่วไป คำถามที่ชาวต่างชาติใช้ในการถามเวลาก็คือ What’s the time? และ What time is it? คุ้นหูอยู่ใช่ไหมคะ ง่ายนิดเดียวเอง ตอบได้สบาย งั้นเรามาดูการถามเวลาด้วยประโยคที่ไม่คุ้นหูบ้าง เช่น Do you have the time? หรือ Have you got the time? น้องๆ จะตอบว่าอะไรคะ?
งงใช่ไหมคะ จริงๆ แล้วสองประโยคด้านบนคือ การถามเวลาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว สังเกตประโยคมีคำว่า the ระบุอยู่ ดังนั้น น้องๆ บอกเวลาในขณะนั้นได้เลยค่ะ แต่ถ้าสองประโยคด้านบนไม่มี the คือ ฝรั่งถามเราว่า Do you have time? หรือ Have you got time? เป็นการถามว่าเรามีเวลาว่างไหม เค้ามีเรื่องที่ต้องการให้เราช่วยค่ะ
ประโยคอื่นที่ได้ยินบ่อยๆ What time do you make it? และ What time do you have? มีความหมายเหมือน What time is it? ทุกประการ
สำหรับการตอบเวลาในภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ไม่เป็นทางการ เราสามารถอ่านตรงตัวตามระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมงได้เลย เช่น
14.50 = fourteen fifty (เวลาตอบก็ใช้ประโยคว่า It’s fourteen fifty.)
22.15 = twenty-two fifteen
09.05 = nine O five (ไนน์-โอ-ไฟฟ์) ใช้เสียง O (โอ) แทนเลขศูนย์ *ไม่ใช้ zero (ซีโร่) นะคะ
2dea3757439375e8d7f9087818eb2b02

การบอกเวลาอีกแบบที่เป็นทางการ และได้ยินกันบ่อยๆ คือการบอกด้วยระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง โดยจะใช้แค่เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. และ p.m.
a.m. ย่อมาจาก ante meridiem หมายถึง หลังเที่ยงคืน ถึง ก่อนเที่ยงวัน (00.01 a.m. – 11.59 a.m.)
ส่วน p.m. ย่อมาจาก post meridiem หมายถึง หลังเที่ยงวัน ถึง ก่อนเที่ยงคืน (12.00 p.m. – 11.59 p.m.)
ถ้าเป็นเวลาเต็มชั่วโมง ให้ลงท้ายด้วยคำว่า “o’clock” พร้อมระบุช่วงเวลาเช้าหรือบ่าย หรือพูด “เอ-เอ็ม” และ “พี-เอ็ม” จะช่วยให้เข้าใจๆ ได้ง่ายกว่า เช่น
10.00 a.m. = ten o’clock in the morning / ten a.m. (เท็น-เอ-เอ็ม)
04.00 p.m. = four o’clock in the afternoon / four p.m. (โฟร์-พี-เอ็ม)
สังเกตไหมคะ ถ้าเราไม่ระบุว่า in the afternoon หรือ p.m. คนฟังอาจจะสับสนได้ว่าเวลาจริงๆ แล้วเป็นตีสี่ หรือ สี่โมงเย็น
เที่ยงคืน เริ่มวันใหม่ ใช้ 12.00 a.m. หรือพูดว่า Midnight
เที่ยงวัน ผ่านวันมาแล้ว ใช้ 12.00 p.m. หรือ Noon
สำหรับเวลาไม่เต็มชั่วโมง จะมีคำที่ต้องจดจำเพิ่มเติมคือ
past (พาสท) ผ่าน
to (ทู) จะถึง
quater (คว๊อเทอะ) 15 นาที (1ใน 4)
half (ฮาฟ) 30 นาที (ครึ่งหนึ่ง)
เวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกิน 30 นาที ให้บอกนาที ตามด้วยคำว่า “past” และปิดท้ายด้วยชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น
10.25 a.m. = twenty-five past ten a.m.
03.11 p.m. = eleven past three p.m.
เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว จะเป็นการนับถอยหลังว่าเหลืออีกกี่นาทีจะถึงกี่โมง วิธีพูด คือ ให้บอกนาทีที่เหลือ ตามด้วย “to” และปิดท้ายด้วยชั่วโมงถัดไป เช่น
08.50 a.m. = ten to nine a.m. อีกสิบนาทีจะเก้าโมงเช้า
07.40 p.m. = twenty to eight p.m. อีกยี่สิบนาทีจะสองทุ่ม
อย่าลืม สำหรับเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น
07.15 a.m. = a quarter past seven a.m.
08.30 a.m. = half past eight a.m.
09.45 p.m. = a quarter to ten p.m.
11.45 p.m. = a quarter to twelve

Credit : http://www.click-kid.com/blog/?p=8436

การใช้ Can และ Could

คำศัพท์พื้นฐานคำแรกๆที่ทุกคนรู้จัก
และคุ้นตาเป็นอย่างดี ก็คือ ‘’Can และ Could’’ 
ซึ่ง แปลว่า สามารถ
จะต่างกันก็แค่ Can จะบอกถึงปัจจุบัน Could ก็อดีต
I can drive a car. ฉันขับรถได้ /
She can speak English very well. หล่อนพูดภาษาอังกฤษได้ดีสุดๆ
They can walk you home. พวกเขาเดินไปส่งคุณได้นะ
I could buy a car. เมื่อก่อนฉันซื้อรถได้นะ
She could speak English fast. หล่อนพูดอังกฤษเร็วๆได้นะ(อดีต)
We could help her cook. พวกเราช่วยหล่อนทำอาหารได้นะ(อดีต)
** แต่ว่า ‘’Can และ Could” ยังใช้ในกรณีอื่นได้อีกด้วยนะคะ
เช่นกรณี
1.ขอร้อง
2.เสนอ หรือ อนุญาต
– มาดูการใช้ Can และ Could ในประโยคขอร้องกันดีกว่าคะ
บอกเคล็ดลับนิดนึงคะ การขอร้องโดยใช้ Could จะสุภาพกว่า Can นะคะ และ ในประโยคขอร้องที่ใช้ Could ไม่ได้หมายถึงอดีตเสมอไปคะแต่ใช้เพื่อเป็นการขอร้องที่สุภาพขึ้นนั่นเองคะ
1. คุณช่วยเช็คภาษาให้ฉันหน่อยสิ
Can you correct my English please?
Could you correct my English Please?
2. คุณช่วยฉันถือกระเป๋าใหญ่หน่อยสิ
Can you help me carry this big bag please?
Could you help me carry this big bag please?
3. ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหมคะ(เบบี๋)
Can you say it again please?
Could you say it again please?
4. คุณช่วยพาไปสนามบินหน่อยสิคะ
Can you take me to the airport please?
Could you take me to the airport please?
5. พูดซัดๆ แน ได้ บอ จ้า ….. นั่น มาอีกแล้วภาษาท้องถิ่น จริงๆแล้วก็ ‘’ ช่วยพูดชัดๆได้ไหมคะ
Can you speak clearly please?
Could you speak clearly please?
***แล้วถ้าจะตอบประโยคขอร้องว่า ได้สิ ละคะ? ก็ง่ายมากเลยสิคะ ก็แค่
Of course
Why not
Certainly
Sure
จะเห็นได้ว่าทุกประโยคขอร้อง จะตามด้วย Please เสมอนะคะ
จะสุภาพมาก ขาดไม่ได้เลยทีเดียวเชียว อย่านะ!!! .
ใครลืมใส่ Please จะด่าให้หมด (อมยิ้มเบาๆ)
– มาดูการใช้เสนอหรือ อนุญาตกันบ้างคะ
1. เอาโทรศัพท์ฉันไปก็ได้นะ (เสนอ)
You can take my phone if you want.
You could take my phone if you want.
2. คุณส่งงานพรุ่งนี้ก็ได้นะ (อนุญาต)
You can hand in your work tomorrow.
You could hand in your work tomorrow.
3. ฉันช่วยเธอได้เสมอนะ (เสนอ)
I can help you whenever you need it.
I could help you whenever you need it.
4. เราจะให้เวลาคุณเพิ่มขึ้นในการทำงาน (เสนอ)
We can give you more time if you ask for it.
We could give you more time if you ask for it.
5. คืนนี้คุณไปเที่ยวกับเพื่อนได้ (อนุญาต)
You can hang out with your friends tonight.
You could hang out with your friends tonight.
Credit : http://e21solution.com/can-could/

การใช้งาน IF – Clauses ในแบบต่างๆ

           Conditional sentences หรือที่หลายคนรู้จักในนาม if-clause คือ ประโยคเงื่อนไข ประกอบด้วยอนุประโยค (ประโยคย่อย) สองประโยค ประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า If กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไป สังเกตว่า อนุประโยคสองประโยคนี้สลับที่กันได้ จะยกประโยคไหนขึ้นต้นก็ได้ แล้วแต่การเน้นและความหมาย


1. ZERO Conditional Sentences
วิธีใช้: ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริง
Zero conditional sentences ใช้สำหรับพูดถึงความจริงทั่วไป โดยใช้ present simple ในอนุประโยคทั้งสองประโยค
  • If + present simple, …. present simple. (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject + V1, subject + V1)
ประโยคแบบ zero conditional sentences ใช้พูดถึงกรณีที่ถ้าเกิดสิ่งหนึ่ง ต้องเกิดอีกสิ่งหนึ่งเสมอ เช่น If water reaches100 degrees, it boils. เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเท่ากับ 100 องศาเซลเซียส น้ำจะเดือดเสมอ หรือ If I eat peanuts, I am sick. ถ้าฉันกินถั่วลิสงฉันจะแพ้ ซึ่งประโยคลักษณะนี้ เราจะใช้คำว่า when (เมื่อ) แทน if ก็ได้
ตัวอย่างเพิ่มเติม
  • If people eat too much, they get fat. ถ้ากินมากจะอ้วน
  • If you touch a fire, you get burned. ถ้าแตะไฟก็จะโดนลวก
  • People die if they don’t eat. คนเราจะตายถ้าไม่กินอาหาร
  • You get water if you mix hydrogen and oxygen. ถ้ารวมไฮโดรเจนกับอ๊อกซิเจนจะได้น้ำ
  • Snakes bite if they are scared. งูจะกัดเวลารู้สึกกลัว
  • If babies are hungry, they cry. ทารกจะร้องไห้ถ้ารู้สึกหิว
Zero conditional sentences จะใช้พูดถึงเรื่องจริงทั่วๆไป แต่ conditional sentences แบบต่อไปจะพูดถึงเหตุการณ์เฉพาะค่ะ

2. FIRST Conditional Sentences
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
First conditional sentences ใช้สำหรับพูดว่าถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น โดยใช้ If + present simple แล้วตามด้วย future simple
  • if + present simple, … will + infinitive (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject + V1, subject + will/be going to + V1)
ใช้พูดถึงเหตุการณ์เฉพาะซึ่งอาจเป็นไปได้ หรือผู้พูดคิดว่าจะเกิดขึ้น เช่น
  • If it rains, I won’t go to the park. ถ้าฝนตก ฉันจะไม่ไปสวนสาธารณะ
  • If I study today, I‘ll go to the party tonight. ถ้าวันนี้ฉันอ่านหนังสือ คืนนี้จะไปปาร์ตี้
  • If I have enough money, I‘ll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอ ฉันจะซื้อรองเท้าใหม่
  • She‘ll be late if the train is delayed. เธอจะไปสายถ้ารถไฟมาช้า
  • She‘ll miss the bus if she doesn’t leave soon. เธอจะไม่ทันรถเมล์ถ้าไม่ออกจากบ้านตอนนี้
  • If I see her, I‘ll tell her. ถ้าพบเขาฉันจะบอกเขา
Zero conditional กับ first conditional ต่างกันตรงที่ใช้กับสถานการณ์คนละประเภทดังได้กล่าวไปแล้ว ดูตัวอย่างชัดๆอีกทีนะคะ

Zero conditional: If you sit in the sun, you get burned. (ใครก็ตามที่) นั่งตากแดดจะผิวไหม้
First conditional: If you sit in the sun, you’ll get burned. ถ้าเธอนั่งตากแดดผิวเธอจะไหม้นะ

3. SECOND Conditional Sentences
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน หรือ อนาคต
First conditional ใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคาดคะเนว่าจะเกิดขึ้น แต่ Second conditional จะใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่น
First conditional: If she studies harder, she’ll pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอจะสอบผ่าน (คิดว่าเป็นไปได้)
Second conditional: If she studied harder, she would pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอคงสอบผ่าน (แต่ผู้พูดไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือ คิดว่าเธอคงไม่ตั้งใจมากขึ้น และเธอคงสอบไม่ผ่าน)
ประโยคแบบ second conditional นี้ใช้ If + past simple คู่กับ would + infinitive ค่ะ
  • if + past simple, …would + infinitive
(สังเกต ว่าอนุประโยคที่ต่อหลัง if ถ้าคำกิริยาเป็น verb to be จะใช้ were ได้กับประธานทุกตัว เช่น If I were you… ถ้าฉันเป็นเธอ… แต่จะใช้ was ตรงตามประธานก็ได้ค่ะ)
วิธีใช้
– ใช้พูดถึงความใฝ่ฝันว่าอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตแต่อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ เช่น
  • If I won the lottery, I would buy a big house. ถ้าถูกล็อตเตอรี่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ (ซึ่งคิดว่าคงไม่ถูกล็อตเตอรี่หรอก)
  • If I met the Queen of England, I would say hello. ถ้าได้พบราชีนีอังกฤษฉันจะกล่าวสวัสดี
  • She would travel all over the world if she were rich. เขาจะเที่ยวรอบโลกถ้ามีเงินมากๆ
  • She would pass the exam if she ever studied. เธอคงจะสอบผ่านหรอกถ้าเธอได้เคยอ่านหนังสือบ้าง (ซึ่งจริงๆไม้อ่านเลย)

– ใช้พูดถึงเหตการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่จริงเลย เช่น

  • If I had his number, I would call him. ถ้ามีเบอร์เขาฉันจะโทรหาเขา (แต่จริงๆฉันไม่มีเบอร์เขา)
  • If I were you, I wouldn’t go out with that man. ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไม่ไปเที่ยวกับเขา

ประโยค second conditional ต่างกับ first conditional ตรงที่แบบนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก เช่น

Second conditional: If I had enough money I would buy a house with twenty bedrooms and a swimming pool. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อบ้านที่มีห้องยี่สิบห้องกับสระว่ายน้ำ (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เป็นแค่ฝัน)

First conditional: If I have enough money, I’ll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อรองเท้าใหม่ (มีความเป็นไปได้มากกว่ามาก)

4. THIRD Conditional Sentences
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต
ประโยค conditional แบบสุดท้ายใช้ If + past perfect (subject + had + V3) คู่กับ would have + V3 ค่ะ
  • if + past perfect, …would + have + past participle
ประโยคแบบนี้ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร
  • If she had studied, she would have passed the exam. ถ้าเขาอ่านหนังสือ เขาคงสอบผ่านไปแล้ว (ซึ่งจริงๆผู้พูดรู้ว่าไม่ได้อ่านและสอบตก)
  • If I hadn’t eaten so much, I wouldn’t have felt sick. ถ้ากินไม่มากฉันคงไม่ป่วย (แต่จริงๆฉันกินเยอะ จึงป่วย)
  • If we had taken a taxi, we wouldn’t have missed the plane. ถ้าเราขึ้นแท็กซี่มาเราคงไม่ตกเครื่องบิน
  • She wouldn’t have been tired if she had gone to bed earlier. เธอจะไม่เพลียถ้าเข้านอนเร็วกว่านี้
  • She would have become a teacher if she had gone to university. เธอคงจะเป็นครูถ้าเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
  • He would have been on time for the interview if he had left the house at nine. เขาคงมาสัมภาษณ์ทันเวลาถ้าออกจากบ้านตอนเก้าโมง

5. MIXED Conditional Sentences
นอก จากนั้นยังมีการนำ conditional sentences สองแบบมาผสมกันอีกด้วยค่ะ โดยมากใช้เวลาพูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริงในอดีตที่มีความสัมพันธ์กับ ปัจจุบัน เช่น
  • She would be a rich widow now if she’d married him. เธอคงจะได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐีไปแล้วถ้าเธอแต่งงานกับเขา (ตอนนั้นไม่แต่งกับเขา ตอนนี้เลยไม่ได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐี)
  • If I’d studied law, I’d be an attorney now. ถ้าตอนนั้นเรียนนิติตอนนี้ฉันก็คงจะเป็นทนายความแล้ว

Credit : http://www.oxbridge.in.th/grammar-tips/if-clauses


Parts of Speech 



ส่วนต่างๆ ของคำ (Part of Speech)
ชนิดของคำจะแบ่งออกเป็น ประเภท คือ

1. คำนาม (Noun) เป็นคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ หรือสภาวะต่างๆ เพื่อใช้เป็นประธานหรือกรรมในประโยค

คน เช่น man , woman , boy , girl , etc...

สัตว์ เช่น dog , cat , bird , duck , etc...

สิ่งของ เช่น house , temple, school, table , book , etc...

สภาวะต่างๆ เช่น goodness, happiness, sadness, cheerfulness , etc...
2. สรรพนาม (Pronoun) เป็นคำที่ใช้แทนชื่อคำนามที่ผู้พูดเอ่ยถึงมาแล้วข้างต้นเพื่อมิให้เป็นการซ้ำซาก และเป็นคำแทนชื่อของผู้พูด และผู้สนทนาด้วย
เช่น ผม คุณ ท่านมัน เขา เธอ เป็นต้น ใช้เป็นประธานและกรรมในประโยค

He = เขา I = ฉันผม They = พวกเขา
She = เธอหล่อน ัYou = คุณพวกคุณ
It = มัน (สิ่งของ)สัตว์ We = พวกผมพวกเรา


3. คุณศัพท์/คุณนาม (Adjective) เป็นคำที่ใช้ขยายนาม และสรรพนาม ให้ได้ใจความที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

He has a blue car. : เขามีรถสีน้ำเงินหนึ่งคัน
The thin boy is coming. : เด็กผู้ชายผอมกำลังมา

4. กริยา (Verb) เป็นคำที่ใช้แสดงการกระทำของนาม หรือสรรพนาม เช่น

That boy smiles. : เด็กผู้ชายคนนั้นยิ้ม

5. บุพบท (Preposition) เป็นคำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม คำนามกับสรรพนาม หรือคำนามกับกริยา ฯลฯ

A cat is on the tree. : แมวตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้
He will go with me. : เขาจะไปกับฉัน

6. กริยาวิเศษณ์ (Adverb) เป็นคำที่ใช้สำหรับขยายกริยาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

He walks very carefully. : เขาเดินอย่างระมัดระวัง
They work slowly. : พวกเขาทำงานช้า

7. คำสันธาน (Conjunction) เป็นคำที่ทำหน้าที่เชื่อมประโยคกับประโยค หรือ คำกับคำเข้าด้วยกัน เช่น

He and I are friends. : เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน
He was eat , when I came here. : เขากินข้าวเสร็จแล้วเมื่อฉันมาถึง

8. คำอุทาน (Interjection) เป็นคำเปล่งเสียงออกมาลอยๆ เพื่อแสดงความรู้สึกต่างๆ เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ

Oh! , Wow! , Yeah, etc...

Oh my god! I forgot it. : ตายจริง! (พระเจ้าช่วย!) ฉันลืมมันไปเลย
Op! I did it again. : อุ๊บ! ฉันทำมันอีกแล้ว
ตัวอย่าง รูปแบบประโยคและการแยกชนิดของคำ

เขาเป็นเด็กดี เพราะ เขาไปโรงเรียนทุกวัน
He is a good boy , because he goes to school everyday.

He = สรรพนาม goes = กริยา day = นาม
is = กริยา to = บุพบท
good = คุณศัพท์ school = นาม
because = สันธาน every = คุณศัพท์ 


Credit : http://littleenglishkrupchiew.blogspot.com/2014/02/blog-post.html




Writing The College Essay




With summer being about half way over, it’s the perfect time to start writing that college essay. This could be one of the most important essays you write in your life so here are some tips to make it the best essay possible:

Make your essay stand out

Try to avoid writing about cliché ideas. College Admission officers read hundreds of essays each day so try to avoid topics that lots of other people will write about. Make it unique to yourself and different than everyone else’s. Write an essay that will stand out to the person reading it. You don’t want your essay to blend in with everyone else’s. Try adding a little humor to it. There admission officers are reading tons of essays each day. By making the reader laugh a little, it will definitely help your essay stand out.

Don’t brag too much

Although your essay is meant to be about you, don’t make it an entire essay bragging about all of your accomplishments. Admissions officers like to see you admit your flaws and how you overcome them. It shows great responsibility admitting what you’ve done wrong in your past and what changes you’ve made to conquer these things. However, don’t add some major wrong doing in your essay (for example getting arrested, etc.), try to add some minor setbacks and what you did about them.

Write about things not on your application

The essay is meant so the college can know a little more about you that they didn’t know before. Don’t just restate exactly what’s on your application. Make it about something that’s unique to you that they wouldn’t already know. This essay is your chance to show the admission officers who you really are.

Brainstorm your ideas

Before writing, take a few days to really brainstorm your ideas so you can find the perfect topic to write about. After all, this isn’t an essay you want to rush through. Make a list of any idea that comes to mind. Once you have a lengthy list, start trimming down until you’ve found the perfect topic!

Revise! Revise! Revise!

This shouldn’t be an essay that you only write one draft for. Don’t be afraid to write and re-write the essay multiple times. Once you have an essay you like, ask others to read and revise it. Get as many people as possible to edit your essay so you can make it the best essay possible.

Use an essay advisor

Using an essay advisor is a great way to help you out on your essay. Advisors will help brainstorm the best topics and also help you revise the essay a little more. These advisors will help your essay take shape and they will help you do your absolute best on the essay.
Credit : https://www.teenlife.com/blogs/writing-college-essay





วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558




คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์




เบรก brakes
เบรกหน้า front brakes
เบรกหลัง rear brakes
เบรกเอบีเอส ABS brakes/Anti-Lock brakes
ก้ามเบรก brake shoes
ผ้าดิสเบรก disk brake pads
กระปุกเกียร์ gear box
กระจกรถยนต์ car glass
กระจกมองข้าง wing mirror
กระจกหน้ารถ windscreen
กระจกด้านหลังรถ car rear windscreen
กระจกมองหลัง rear view mirror
กระจกประตูหน้า front door glass
กระจกประตูหลัง rear door glass
เกียร์ธรรมดา manual gear
เกียร์อัตโนมัติ automatic gear
คันเกียร์ gear stick
เข็มขัดนิรภัย seatbelt
คันเร่ง Accelerator
คลัตช์ clutch
จานคลัตช์/แผ่นคลัตช์ clutch disc
หวีคลัตช์ clutch cover
ลูกปืนคลัตช์ clutch bearing
ลูกปืน bearing
ลูกปืนล้อหน้า front wheel bearing
ลูกปืนดุมล้อหน้า front wheel hub bearing
เครื่องทำความร้อน heater
จานจ่าย distributor
สายคันเร่ง throttle cable
สายเบรกมือ handbrake cable
สายดึงฝากระโปรงหน้า front bonnet release cable
เสาอากาศรถยนต์ car Antenna
แอร์รถยนต์ vehicle air conditioning/auto air conditioning
ที่นั่งตอนหน้า front seat
ที่นั่งตอนหลัง back seat
ฝากระโปรงหลัง rear bonet
ฝากระโปรงหน้า car bonnet
แผงหน้าปัดรถยนต์ car dashboard
ไอเสีย exhaust
ท่อไอเสีย exhaust pipe
ที่นั่งตอนหลัง front seat
ที่นั่งผู้โดยสาร passenger seat
มาตรแสดงความเร็ว speedometer
หลังคา roof
พวงมาลัย steering wheel
หม้อน้ำรถยนต์ radiator/car radiator

มาตรวัดอุณหภูมิ temperature gauge
ล้อ wheel
หน้าต่าง window
ที่ปัดน้ำฝน windscreen wiper
มาตรวัดความเร็ว speed meter
มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ RPM meter
หลอดไฟรถยนต์ auto lamp
ไฟหน้า headlights
ไฟต่ำ low beam lights
ไฟสูง high beam lights
ไฟตัดหมอกหน้ารถ front fog light
ไฟหรี่ position light
ไฟข้าง side lights
ไฟส่องป้าย licence plate light
ไฟในห้องโดยสาร interior light
ไฟฉุกเฉิน hazard lights
ไฟเลี้ยว turning light
ไฟท้าย tail lamp
ไฟเบรก brake light
ไฟเบรกดวงที่3 the third brake light
ไฟถอย back-up light
ไฟตาแมว/ไฟแสดงการทำงาน Indicator Lamp
ไฟหน้าปัด dashboard light
starter signal ไฟสัญญาณสตาร์ท
ยางนอก tyre
แผ่นป้ายทะเบียนรถ number plate
แร็คหลังคา roof rack
เบรคมือ handbrake
เครื่องยนต์ engine
น้ำมันเครื่อง motor oil
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ Synthetic motor oil
น้ำมันเบรก brake fluid
น้ำมันเกียร์ gear oil
น้ำมันเกียร์ออโต้ automatic transmission fluid
พวงมาลัยเพาวเวอร์ power steering
น้ำมันพวงมาลัยเพาวเวอร์ power steering fluid
ถังน้ำมัน fuel tank
ถังน้ำมันเบนซิน petrol tank
สายน้ำมัน/ท่อน้ำมัน fuel hose/fuel rubber hose
แป๊บทองแดง copper pipe line
หัวเทียน spark plug
สายหัวเทียน spark plug wire



ที่มา : http://www.pasaangkit.com/auto-parts/